คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 11 นับตั้งแต่ที่เฟดเริ่มวัฏจักรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.2565 ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.25%ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี
ขณะที่ถ้อยแถลงของ เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อได้ปรับลดลงบ้างตั้งแต่กลางปีที่แล้ว แต่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายของเฟดที่ 2% โดยคาดว่าจะยังใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
ซึ่งท่าทีของนายเจอโรม ทำให้นักลงทุนเดิมที่มองว่าเฟดจะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลืองของปี และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย "อาจไม่เป็นเช่นนั้น"คำพูดจาก นสล็อตออนไลน์
“ มีความเป็นไปได้ที่ในการประชุมครั้งต่อไป (วันที่ 19-20 ก.ย.) เฟดอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งจะดำเนินการด้วยความรอบคอบ”
ทั้งนี้หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันพุธ (26 ก.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,520.12 จุด เพิ่มขึ้น 82.05 จุด หรือ +0.23%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,566.75 จุด ลดลง 0.71 จุด หรือ -0.02% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,127.28 จุด ลดลง 17.27 จุด หรือ -0.12%